ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
Home Car Show Super Car & Import Car Off Road Car Stereo Eenergy Business Wheel & Tires Classifieds Webboard
Sport World Home & Condo Motor Cycle Cycle Bike Review & TestDrive Classic Car Motor Sport Pretty Show Sexy Lady Society News









แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - airrii

หน้า: [1] 2 3 ... 11
1
ในชีวิตประจำวัน ความเสี่ยงจากอุบัติเหตุอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อยจากการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงอุบัติเหตุร้ายแรงที่ไม่คาดฝัน การมีหลักประกันที่คอยดูแลค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล คือเครื่องมือทางการเงินที่จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ ไร้กังวล

ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) คือ กรมธรรม์ประกันภัย ที่ให้ความคุ้มครองและชดเชยความเสียหายต่อร่างกายของผู้เอาประกันภัย ในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวร อันเนื่องมาจาก อุบัติเหตุ ภายนอกร่างกาย ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่สามารถคาดการณ์ได้ และมาจากปัจจัยภายนอกร่างกายเท่านั้น



รายละเอียดความคุ้มครอง: ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลมีอะไรบ้าง
กรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุ ทั่วไป มักให้ความคุ้มครองที่หลากหลายและยืดหยุ่น โดยสามารถแบ่งความคุ้มครองหลัก ๆ ได้ดังนี้:
1.ผลประโยชน์กรณีเสียชีวิตและสูญเสียอวัยวะ/สายตา/ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง (อบ.1):
เป็นความคุ้มครองหลักของกรมธรรม์ โดยจะจ่ายเงินสินไหมทดแทนเต็มจำนวนตามทุนประกัน หากผู้เอาประกันเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรจากอุบัติเหตุ

2.ค่ารักษาพยาบาล :
บริษัทจะจ่ายชดเชยค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจริง ตามวงเงินที่กำหนดในกรมธรรม์ เช่น ค่าห้อง ค่ายา ค่าแพทย์ และค่าผ่าตัด ที่เป็นผลโดยตรงจากอุบัติเหตุ

3.เงินชดเชยรายได้รายวัน :
จ่ายเป็นเงินรายวันตามที่ตกลงกันไว้ สำหรับกรณีที่ผู้เอาประกันต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน (IPD) หรือผู้ป่วยนอก (OPD) จนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

4.ผลประโยชน์เพิ่มเติม :
สามารถซื้อความคุ้มครองเสริมได้ เช่น ค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้าย หรือความคุ้มครองอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์

หลายคนมักมองข้าม ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล เพราะคิดว่าตัวเองระมัดระวังดีแล้ว แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นจริง ๆ มักจะเผชิญกับปัญหาเหล่านี้:
1.ภาระค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่ต้องจ่ายเองทันที :
อุบัติเหตุส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นแบบฉุกเฉินและต้องเข้ารับการรักษาทันที หากไม่มีประกัน PA ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเบื้องต้นตั้งแต่การเอกซเรย์ การทำแผล หรือการผ่าตัด อาจเป็นเงินก้อนใหญ่ที่ต้องควักจ่ายทันที ซึ่งกระทบต่อเงินเก็บหรือสภาพคล่องทางการเงิน

2.เงินขาดมือเมื่อต้องหยุดงาน :
หากอุบัติเหตุทำให้ต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน ผู้เอาประกันจะขาดรายได้ประจำ แต่รายจ่ายประจำอื่น ๆ ยังคงอยู่ ประกัน PA ที่มีเงินชดเชยรายวันจึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะบรรเทาความเดือดร้อนในส่วนนี้

3.ไม่สามารถเลือกโรงพยาบาลที่ดีที่สุดได้ :
เมื่อไม่มีวงเงินคุ้มครองที่แน่นอน การเลือกใช้บริการทางการแพทย์อาจถูกจำกัดอยู่แค่โรงพยาบาลรัฐ หรือโรงพยาบาลที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาที่สะดวกและรวดเร็วได้ทันท่วงที

4.ภาระทางอารมณ์และเศรษฐกิจของครอบครัว :
ในกรณีที่เกิดเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร ครอบครัวจะต้องรับมือกับความสูญเสียทั้งทางอารมณ์และเศรษฐกิจพร้อมกัน เงินสินไหมทดแทนจาก ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล จะช่วยให้ครอบครัวมีเงินก้อนเพื่อใช้ในการตั้งตัวและเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยต่อไปได้

เลือกประกันอุบัติเหตุวันนี้ เพื่อความมั่นใจในทุกวัน การลงทุนใน ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในการบริหารความเสี่ยง เพราะเบี้ยประกันไม่สูง แต่ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันได้อย่างดีเยี่ยม ซื้อประกันออนไลน์

2
นอนกรนคืออะไร และทำไมจึงทำให้นอนหลับไม่สนิท นอนกรน เกิดขึ้นเมื่อทางเดินหายใจส่วนบน (ลำคอและช่องจมูก) แคบลงขณะหลับ ทำให้ลมหายใจผ่านได้ยาก เนื้อเยื่อในลำคอจึงสั่นสะเทือนและเกิดเป็นเสียงดัง
แต่เมื่อการกรนนั้นรุนแรงและมีภาวะ หยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย สมองจะได้รับออกซิเจนน้อยลง และต้องสั่งให้ร่างกายสะดุ้งตื่นเป็นช่วงสั้นๆ ตลอดทั้งคืนเพื่อกลับมาหายใจปกติ แม้จะจำไม่ได้ว่าตื่น แต่การตื่นสั้นๆ ซ้ำๆ เหล่านี้คือสาเหตุหลักของภาวะ นอนหลับไม่สนิท

สาเหตุหลักที่ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
น้ำหนักตัวเกิน: ไขมันที่สะสมบริเวณลำคอทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
โครงสร้างทางเดินหายใจ: ทอนซิลโต ลิ้นไก่ยาว หรือผนังกั้นช่องจมูกคด
การดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยานอนหลับ: สารเหล่านี้ทำให้กล้ามเนื้อคอคลายตัวมากเกินไป
ท่านอนหงาย: ทำให้ลิ้นและเพดานอ่อนตกลงไปขวางทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น
อายุที่เพิ่มขึ้น: กล้ามเนื้อคออ่อนแอลงตามวัย



ผลกระทบจากการนอนหลับไม่สนิทเรื้อรัง
การละเลยปัญหา นอนกรน ที่นำไปสู่การ นอนหลับไม่สนิท มีผลกระทบมากกว่าแค่ความง่วงในตอนกลางวัน
สุขภาพกาย: เพิ่มความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะเบาหวาน และระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
สุขภาพจิต: อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ไม่มีสมาธิในการทำงานหรือการเรียนรู้ และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้า
ความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ: อาการง่วงนอนตลอดเวลาเพิ่มความเสี่ยงในการขับขี่ยานพาหนะและทำงานที่ต้องใช้สมาธิ

แนวทางแก้ไขปัญหา นอนกรน และ นอนหลับไม่สนิท นอนหลับไม่สนิท ตื่นบ่อย วิธีแก้
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต
ลดน้ำหนัก: เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดหากการกรนเกิดจากน้ำหนักตัวเกิน
เปลี่ยนท่านอน: ลองนอนตะแคงแทนการนอนหงาย การใช้หมอนบอดี้ สามารถช่วยได้
งดแอลกอฮอล์และคาเฟอีน: หลีกเลี่ยงก่อนนอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
รักษาความสะอาดของช่องจมูก: ใช้สเปรย์น้ำเกลือหรือยาแก้แพ้หากมีอาการคัดจมูกร่วมด้วย

2. การรักษาทางการแพทย์และเครื่องมือช่วย
เครื่องมือ CPAP : เป็นวิธีรักษามาตรฐานสำหรับผู้มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับรุนแรง โดยเครื่องจะช่วยดันอากาศให้ทางเดินหายใจเปิดอยู่ตลอดเวลา
อุปกรณ์ในช่องปาก : เป็นอุปกรณ์ที่ทันตแพทย์ออกแบบเฉพาะบุคคล เพื่อดันกรามล่างและลิ้นมาด้านหน้าเล็กน้อย ป้องกันการยุบตัวของทางเดินหายใจ
การผ่าตัด: ในกรณีที่ปัญหาเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้าง เช่น ทอนซิลโต หรือผนังกั้นจมูกคด อาจมีการแนะนำให้ทำการผ่าตัด

ปัญหา นอนกรน หรือมีอาการ นอนหลับไม่สนิท จนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน อย่ามองข้ามการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียดอาจเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการกลับไปมีสุขภาพที่ดี มีพลัง และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

3
ยุคพัฒนาอ่างอาบน้ำ ในปัจจุบัน เทคโนโลยีและนวัตกรรมได้เข้ามาผสานรวมกับการออกแบบอย่างลงตัว ทำให้ห้องน้ำกลายเป็น "สปาส่วนตัว" ที่เปี่ยมไปด้วยฟังก์ชันการทำงานอัจฉริยะ (Smart Functions) และความสวยงามระดับมาสเตอร์พีซ

1. นวัตกรรมเพื่อการผ่อนคลายขั้นสูงสุด
อ่างอาบน้ำสมัยใหม่ ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การบำบัดและผ่อนคลายร่างกายอย่างแท้จริง

• อ่างน้ำวนอัจฉริยะ (Smart Whirlpool Bathtubs) : ไม่ได้มีเพียงแค่หัวเจ็ตน้ำแบบธรรมดา แต่พัฒนาไปสู่ระบบนวดที่ปรับแรงดัน รูปแบบการพ่นน้ำ และทิศทางได้อย่างแม่นยำ บางรุ่นสามารถตั้งโปรแกรมการนวดเฉพาะจุด (Targeted Massage) ตามความต้องการของผู้ใช้งานได้
• อ่างอาบน้ำระบบแอร์เจ็ต (Air Jet Bathtubs) : ใช้ระบบพ่นฟองอากาศเล็ก ๆ จำนวนมากออกมาจากด้านล่างของอ่าง เพื่อสร้างสัมผัสที่นุ่มนวลกว่าการนวดด้วยน้ำ และช่วยเพิ่มออกซิเจนในน้ำเพื่อบำรุงผิว
• โครโมเธอราปี (Chromotherapy) : การบำบัดด้วยแสงสี ระบบไฟ LED ในอ่างอาบน้ำสามารถเปลี่ยนสีได้ตามอารมณ์หรือความต้องการในการบำบัด โดยแต่ละสีจะมีผลต่อร่างกายและจิตใจ เช่น สีฟ้าเพื่อความสงบ สีส้มเพื่อความกระปรี้กระเปร่า
• อโรมาเธอราปี (Aromatherapy) : มีช่องสำหรับเติมน้ำมันหอมระเหยโดยเฉพาะ เพื่อให้กลิ่นหอมกระจายไปพร้อมกับไอน้ำ ช่วยเพิ่มประสบการณ์การผ่อนคลายระหว่างแช่ตัว



2. การออกแบบที่เน้นสุนทรียภาพและความยืดหยุ่น
การออกแบบห้องน้ำ ยุคพัฒนาอ่างอาบน้ำ เน้นการผสมผสานระหว่างฟังก์ชันและความสวยงามให้เข้ากับการตกแต่งบ้านยุคใหม่
• อ่างตั้งพื้นอิสระ: ยังคงเป็นเทรนด์หลักที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยรูปทรงที่เรียบง่าย โค้งมน หรือเป็นทรงเรขาคณิตที่โดดเด่น ทำให้เป็นจุดศูนย์กลางของห้องน้ำโดยวัสดุที่ใช้มักเป็น หินสังเคราะห์ หรือ อะคริลิก คุณภาพสูง
• อ่างแบบวอล์กอิน : นวัตกรรมสำคัญที่ออกแบบมาเพื่อผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว มีประตูเปิด-ปิดด้านข้างและที่นั่งในตัว ช่วยให้การเข้าและออกจากอ่างมีความปลอดภัยสูงสุด
• วัสดุที่เก็บความร้อนได้ดี: การใช้วัสดุสังเคราะห์ที่มีเทคโนโลยีการกักเก็บความร้อนสูง เช่น เรซินคอมโพสิต ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแช่น้ำอุ่นได้ยาวนานขึ้นโดยไม่ต้องเติมน้ำร้อนบ่อยๆ ถือเป็นการพัฒนาที่ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงาน

3. อ่างอาบน้ำอัจฉริยะ และการเชื่อมต่อ
อ่างอาบน้ำ กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบบ้านอัจฉริยะ อย่างเต็มตัว
ระบบควบคุมด้วยเสียง/แอปพลิเคชัน   สั่งการเติมน้ำ ตั้งอุณหภูมิ และระดับน้ำล่วงหน้าผ่านสมาร์ทโฟน หรือใช้คำสั่งเสียง
เซ็นเซอร์อัจฉริยะ   ตรวจสอบระดับน้ำ อุณหภูมิ และป้องกันการล้นของน้ำโดยอัตโนมัติ
ระบบทำความสะอาดตัวเอง   มีระบบพ่นทำความสะอาดท่อและหัวเจ็ตอัตโนมัติ เพื่อสุขอนามัยที่ดี
ความบันเทิงในตัวมีลำโพงบลูทูธในตัว หรือแม้กระทั่งจอภาพที่กันน้ำได้ ให้คุณเพลิดเพลินกับเพลงหรือภาพยนตร์ขณะแช่น้ำ

ด้วยการผสานเทคโนโลยีอ่างอาบน้ำ เข้ากับความหรูหรา ทำให้ อ่างอาบน้ำ กลายเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิต สุขภาพกาย และสุขภาพจิตของผู้ใช้งาน การลงทุนในอ่างอาบน้ำสมัยใหม่จึงไม่ใช่แค่การซื้อเฟอร์นิเจอร์ แต่คือการลงทุนในความสุขและการผ่อนคลายส่วนตัวอย่างแท้จริง

4
ลมหนาวพัดมาเมื่อไหร่ ก็ถึงเวลาเปลี่ยนตู้เสื้อผ้าเตรียมพร้อมรับความเย็น การแต่งตัวรับลมหนาวไม่ใช่แค่การทำให้ร่างกายอบอุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสดีที่จะได้สนุกกับการมิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อผ้าสุดชิคอีกด้วย ในปี 2025 นี้ เทรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นหน้าหนาวเน้นความสบาย เรียบง่าย แต่ยังคงความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร มาดูกันว่า แฟชั่นเสื้อผ้ารับลมหนาว ในปีนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง และเราจะแต่งตัวอย่างไรให้ สวยเก๋ และ อบอุ่น ไปพร้อมๆ กัน

เสื้อสเวตเตอร์ถัก (Knit Sweaters): เป็นไอเทมคลาสสิกที่ให้ความอบอุ่นและมีลวดลายให้เลือกมากมาย ตั้งแต่ลายเรียบง่ายไปจนถึงลายถักนูน (Cable Knit)
ทริคการแต่ง: สามารถใส่เดี่ยวๆ คู่กับกางเกงยีนส์ หรือใส่ทับเสื้อเชิ้ตด้านในเพื่อให้ดูมีเลเยอร์

โค้ทตัวยาว (Long Coats/Trench Coats): เพิ่มความสง่างามและความเป็นทางการให้กับทุกลุค ทั้งยังช่วยป้องกันลมหนาวได้เป็นอย่างดี
ทริคการแต่ง: เลือกสีเบสิกอย่างสีดำ สีน้ำตาล หรือสีกากี เพื่อให้เข้าได้กับเสื้อผ้าทุกชุด



เสื้อแจ็คเก็ตบอมเบอร์ (Bomber Jackets) และพัฟเฟอร์ (Puffer Jackets): แจ็คเก็ตกันหนาว สไตล์สปอร์ตที่กลับมาฮิตอีกครั้ง เหมาะสำหรับวันสบายๆ ให้ความอบอุ่นสูงแต่ไม่ดูเทอะทะจนเกินไป
ทริคการแต่ง: เลือกสีสันสดใสเพื่อเพิ่มความสนุกให้กับลุคหน้าหนาวที่มักจะดูหม่นๆ

กางเกงขายาวผ้าลูกฟูก (Corduroy Pants): เป็นเนื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นมากกว่ากางเกงทั่วไป และมีเท็กซ์เจอร์ที่น่าสนใจ
ทริคการแต่ง: แมทช์กับเสื้อคอเต่า (Turtleneck) และรองเท้าบูทหุ้มข้อ

เทคนิคการแต่งตัวแบบเลเยอร์ (Layering) ฉบับมือโปร
หัวใจของการ แต่งตัวหน้าหนาว ที่ชาญฉลาดคือการ "เลเยอร์" หรือการใส่เสื้อผ้าหลายๆ ชั้น เพราะสามารถถอดออกได้เมื่อเจออากาศที่อุ่นขึ้น และยังช่วยสร้างมิติให้กับลุคดูดีอีกด้วย

Base Layer (ชั้นใน): เลือกเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าคอตตอน หรือผ้าฮีทเทค (Heattech) เพื่อช่วยกักเก็บความร้อนและซับเหงื่อ
Mid Layer (ชั้นกลาง): คือชั้นที่ให้ความอบอุ่นเป็นหลัก เช่น เสื้อสเวตเตอร์ เสื้อคาร์ดิแกน หรือเสื้อฮู้ดดี้
Outer Layer (ชั้นนอก): คือเสื้อคลุมตัวนอกที่ช่วยป้องกันลมและความเย็น เช่น โค้ทตัวยาว หรือเสื้อแจ็คเก็ต
เคล็ดลับ: อย่าลืมเล่นกับความยาวและเท็กซ์เจอร์ของแต่ละเลเยอร์ เช่น เสื้อตัวในยาวกว่าเสื้อตัวกลางเล็กน้อย หรือการจับคู่ผ้าที่ต่างกัน เช่น เสื้อไหมพรมกับเสื้อโค้ทหนัง

แอคเซสเซอรี่ที่ช่วยคอมพลีทลุคให้อินเทรนด์
แฟชั่นหน้าหนาว จะไม่สมบูรณ์แบบหากขาดแอคเซสเซอรี่เหล่านี้ ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยงามแล้ว ยังเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายด้วย
ผ้าพันคอ (Scarves): เลือกผ้าพันคอผืนใหญ่ที่สามารถห่มไหล่ได้ จะช่วยเพิ่มความอบอุ่นและเป็นจุดดึงดูดสายตาที่ดีเยี่ยม
หมวกไหมพรม (Beanies): ไม่เพียงแต่ให้ความอบอุ่นแก่ศีรษะ แต่ยังช่วยอำพรางทรงผมในวันที่ยุ่งเหยิงได้ดี
รองเท้าบูท (Boots): ตั้งแต่ Ankle Boots ไปจนถึง Knee-High Boots ถือเป็นไอเทมที่ต้องมีรองเท้าบูทหนังกลับ (Suede) หรือหนังมันวาว (Patent Leather) คือตัวเลือกที่กำลังอินเทรนด์
ถุงมือ (Gloves): เลือกถุงมือหนังสำหรับลุคที่ดูเนี้ยบ หรือถุงมือไหมพรมสำหรับลุคที่ดูสบายๆ

การเตรียมตัวรับ ลมหนาว ด้วยการshoppingเสื้อผ้าที่เหมาะสมจะทำให้สนุกกับฤดูกาลนี้ได้มากขึ้น อย่ากลัวที่จะทดลองสวมใส่เสื้อผ้าหลายๆ ชั้น และใช้แอคเซสเซอรี่ต่างๆ เพื่อเพิ่มลูกเล่นให้เข้ากับเสื้อผ้า ไม่ว่าอากาศจะเย็นแค่ไหน ก็สามารถเป็นเจ้าของ แฟชั่นเสื้อผ้ารับลมหนาว ที่ทั้ง สวยเก๋ อินเทรนด์ และ อบอุ่น ได้อย่างแน่นอน


5
เมื่ออายุเข้าสู่ช่วง 50 ปีขึ้นไป ความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล (IPD) ด้วยโรคซับซ้อนหรือการผ่าตัดมีสูงขึ้นอย่างมาก การวางแผนด้วยประกันสุขภาพผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไปที่เน้น ความคุ้มครอง IPD สูง จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการปกป้องเงินออมวัยเกษียณ

ทำไมต้องเลือกแผน IPD สูงสำหรับวัย 50+
รับมือค่าผ่าตัดแพง: แผน IPD ที่สูงจะช่วยครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดใหญ่ เช่น การทำบายพาสหัวใจ, การผ่าตัดเปลี่ยนข้อ, หรือการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายหลักล้านบาท
ความมั่นคงด้านค่าห้อง: วงเงินค่าห้องที่เพียงพอ จะช่วยให้ผู้สูงอายุได้รับความสะดวกสบายในการพักฟื้น โดยไม่ต้องรับผิดชอบส่วนต่างค่าห้องเอง
ความต่อเนื่องของความคุ้มครอง: ผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพมักเน้นการต่ออายุที่ยาวนาน เพื่อให้ความคุ้มครองไม่สะดุดไปจนถึงบั้นปลายชีวิต



แนวทางแผนประกันสุขภาพ IPD สูง (สัญญาเพิ่มเติม)
ผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพของผู้สูงอายุมักอยู่ในรูปแบบของ สัญญาเพิ่มเติม (Rider) ที่นำไปแนบกับกรมธรรม์ประกันชีวิตหลัก (เช่น ประกันตลอดชีพ หรือ ประกันสะสมทรัพย์) เพื่อให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพ

แม้ชื่อแผนจะมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ แต่องค์ประกอบหลักที่คุณควรเลือกสำหรับผู้สูงอายุคือ
องค์ประกอบที่ต้องพิจารณาความสำคัญต่อผู้สูงอายุ (50+ ปี)
วงเงินคุ้มครองผู้ป่วยใน(IPD)รวมต่อปี ต้องสูงที่สุดเท่าที่ทำได้ (แนะนำเริ่มต้นที่ 1-5 ล้านบาทขึ้นไป) เพื่อครอบคลุมการรักษาโรคร้ายแรงต่อเนื่อง
วงเงินค่าห้องและค่าอาหารต่อวัน เลือกวงเงินที่ใกล้เคียงกับค่าห้องเดี่ยวมาตรฐานของโรงพยาบาลเอกชนที่คุณต้องการใช้บริการ (เช่น 4,000 – 6,000 บาทต่อวัน)
ความคุ้มครองค่าผ่าตัดและหัตถการ ตรวจสอบว่ารวมอยู่ในวงเงิน IPD หรือไม่ ถ้าแยกวงเงินควรเลือกแผนที่ให้วงเงินสูง
ระยะเวลาต่ออายุ เลือกแผนที่สามารถ ต่ออายุความคุ้มครองได้ยาวนานที่สุด (เช่น ถึงอายุ 80 ปี, 90 ปี หรือ 99 ปี)

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
แจ้งประวัติสุขภาพจริง: การเปิดเผยข้อมูลสุขภาพอย่างครบถ้วนและเป็นจริงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำประกันสุขภาพ เพื่อไม่ให้มีปัญหากับการเคลมค่ารักษาในภายหลัง
พิจารณาสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง: สำหรับวัย 50 ปีขึ้นไป ควรพิจารณาแนบสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรงควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ได้รับเงินก้อนเมื่อตรวจพบโรคสำคัญ
เบี้ยประกันปรับขึ้นตามอายุ: โปรดทราบว่าเบี้ยประกันสุขภาพ (Rider) จะมีการปรับเพิ่มขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้นในทุกปี ดังนั้นควรวางแผนงบประมาณระยะยาวไว้ล่วงหน้า
การเลือกแผนประกันสุขภาพ IPD สูงคือการลงทุนในความอุ่นใจและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ อย่าปล่อยให้ความเสี่ยงทางการแพทย์มาทำลายความมั่งคั่งที่สร้างมา

6
ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การมีหลักประกันทางการเงินจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ดำเนินชีวิตได้อย่างอุ่นใจ ประกันชีวิตรายปี (หรือที่มักรู้จักในชื่อประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา หรือ Term Insurance) ถือเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับคนยุคใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการความคุ้มครองชีวิตที่สูงในขณะที่จ่ายเบี้ยประกันที่ต่ำ และยืดหยุ่นต่อการวางแผนการเงินในอนาคต

ประกันชีวิตรายปี (Term Insurance) คืออะไร
ประกันชีวิตรายปี คือ สัญญาประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตาม ระยะเวลาที่กำหนดอย่างชัดเจน เช่น 1 ปี, 5 ปี, 10 ปี, หรือ 20 ปี โดยผู้เอาประกันภัยจะต้องชำระเบี้ยประกันเป็นงวด ๆ ตามที่ตกลงกันไว้ (ซึ่งส่วนใหญ่นิยมชำระแบบรายปี)

จุดเด่นสำคัญ: หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ บริษัทประกันจะจ่ายเงินเอาประกันภัย (ทุนประกัน) ให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ตามสัญญาแต่ถ้าผู้เอาประกันภัยอยู่ครบกำหนดสัญญา ประกันชนิดนี้ จะไม่มีเงินคืนให้ (แตกต่างจากประกันตลอดชีพหรือสะสมทรัพย์)



3 ข้อดีเด่นของ ประกันชีวิตรายปี ที่ทำให้เบี้ยถูก
ประกันชีวิตรายปี มีข้อได้เปรียบที่โดดเด่นกว่าประกันชีวิตประเภทอื่น ๆ ดังนี้:

1. เบี้ยประกันภัยต่ำ คุ้มครองสู
นี่คือจุดแข็งที่สุดของประกันชีวิตรายปี สามารถได้รับทุนประกันชีวิตที่สูง (เช่น หลักล้านบาท) เพื่อเป็นหลักประกันให้กับครอบครัวในขณะที่จ่ายเบี้ยประกันต่อปีในอัตราที่ต่ำกว่าประกันประเภทอื่นอย่างมาก เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นเสาหลักของครอบครัวหรือผู้มีภาระหนี้สินที่ต้องการความคุ้มครองสูงในช่วงเวลาจำกัด

2. ความยืดหยุ่นในการวางแผน
เนื่องจากเป็นสัญญาแบบระยะสั้น จึงสามารถปรับเปลี่ยนแผนประกันได้ตามความเปลี่ยนแปลงของชีวิต เช่น เมื่อหมดภาระหนี้สิน หรือบุตรบรรลุนิติภาวะแล้วอาจเลือกที่จะไม่ต่ออายุสัญญา หรือเปลี่ยนไปทำประกันรูปแบบอื่นแทนได้

3. ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
เช่นเดียวกับประกันชีวิตทั่วไป เบี้ยประกันที่จ่ายสำหรับ ประกันชีวิตรายปี สามารถนำไปใช้สิทธิ ลดหย่อนภาษี เงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุดถึง 100,000 บาท ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร ช่วยให้ประหยัดภาษีได้อีกทางหนึ่ง

ประกันชีวิตรายปี เหมาะกับใครที่สุด
ประกันชีวิตรูปแบบนี้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเหล่านี้อย่างยิ่ง:
หัวหน้าครอบครัววัยสร้างตัว: ผู้ที่มีบุตรเล็ก หรือมีคู่สมรสที่ต้องพึ่งพารายได้ ต้องการเงินก้อนใหญ่เพื่อเป็นหลักประกันทดแทนรายได้หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
ผู้มีภาระหนี้สินสูง: เช่น หนี้บ้าน หรือหนี้รถยนต์ เพื่อให้แน่ใจว่าหากจากไปภาระหนี้จะไม่ตกอยู่กับคนข้างหลัง
ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองเพิ่มเติมชั่วคราว: ผู้ที่ทำประกันชีวิตตลอดชีพอยู่แล้ว แต่ต้องการเพิ่มความคุ้มครองให้สูงขึ้นอีกในช่วงเวลาที่ต้องรับผิดชอบทางการเงินมากเป็นพิเศษ



7
การวางแผนอนาคตทางการเงิน และการสร้างความมั่นคงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง กรมธรรม์ประกันชีวิต คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เป้าหมายนี้เป็นจริงได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับมือใหม่ การทำความเข้าใจประเภทของกรมธรรม์ประกันชีวิตอาจจะดูซับซ้อนไปบ้างกรมธรรม์ประกันชีวิต มีกี่แบบ และแต่ละแบบมีความโดดเด่นอย่างไรบ้าง

ประกันชีวิตคืออะไร
ก่อนจะไปดูประเภทของกรมธรรม์มาทำความเข้าใจพื้นฐานกันก่อน ประกันชีวิต คือสัญญาที่ทำขึ้นระหว่าง ผู้เอาประกันภัย (ลูกค้า) กับ บริษัทประกันชีวิต (เช่น ไทยประกันชีวิต) โดยที่ผู้เอาประกันภัยจะจ่ายเบี้ยประกันเป็นงวดๆ และบริษัทจะจ่ายเงินผลประโยชน์ตามเงื่อนไขที่กำหนด เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ เช่น การเสียชีวิต การมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา หรือการเจ็บป่วย/ทุพพลภาพ (ขึ้นอยู่กับสัญญาเพิ่มเติม)



กรมธรรม์ประกันชีวิตมี 4 ประเภทหลัก
โดยทั่วไปแล้ว กรมธรรม์ประกันชีวิตสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ตามลักษณะของความคุ้มครองและผลตอบแทน ดังนี้:

1. ประกันชีวิตตลอดชีพ
เน้น: ให้ความคุ้มครองยาวนาน ตลอดชีวิต ของผู้เอาประกันภัย (ส่วนใหญ่มักจะถึงอายุ 90 ปี หรือ 99 ปี)
การจ่ายเบี้ย: ชำระเบี้ยประกันเป็นระยะเวลาสั้นกว่าความคุ้มครอง เช่น ชำระ 10 ปี, 20 ปี, หรือจนถึงอายุ 60 ปี แต่ให้ความคุ้มครองยาวไป
จุดเด่น: เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสร้างมรดก หรือต้องการความคุ้มครองระยะยาวให้แก่ครอบครัวอย่างแท้จริง มีมูลค่าเงินสดสะสมในกรมธรรม์
ตัวอย่างจากไทยประกันชีวิต: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนมรดกและหลักประกันให้ครอบครัวระยะยาว

2. ประกันชีวิตชั่วระยะเวลา
เน้น: ให้ความคุ้มครอง ตามระยะเวลาที่กำหนด อย่างชัดเจน เช่น 5 ปี, 10 ปี, 20 ปี หรือถึงอายุ 60 ปี
การจ่ายเบี้ย: เบี้ยประกันค่อนข้างต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับทุกประเภท เนื่องจากไม่มีการสะสมมูลค่าเงินสด
จุดเด่น: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสูง ในช่วงระยะเวลาที่มีภาระหนี้สินสูง หรือมีลูกที่ยังต้องดูแล เมื่อครบกำหนดสัญญา สัญญาก็จะสิ้นสุดลง
ตัวอย่างจากไทยประกันชีวิต: เหมาะสำหรับคนที่มีงบจำกัด แต่ต้องการวงเงินคุ้มครองสูงในระยะสั้น/กลาง

3. ประกันชีวิตสะสมทรัพย์
เน้น: การผสมผสานระหว่าง ความคุ้มครองชีวิต และ การออมเงิน/การลงทุน
การจ่ายเบี้ย: ชำระเบี้ยตามระยะเวลาที่กำหนด และจะได้รับเงินคืนเป็นงวดๆ หรือได้รับเงินก้อนใหญ่เมื่อครบกำหนดสัญญา
จุดเด่น: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินที่มีวินัย พร้อมทั้งได้รับความคุ้มครองชีวิตไปพร้อมกัน ผลตอบแทนแน่นอนและทราบล่วงหน้า
ตัวอย่างจากไทยประกันชีวิต: มีหลากหลายแบบให้เลือก ทั้งแบบออมสั้น คืนเร็ว และแบบออมยาวเพื่อเป้าหมายใหญ่ เช่น การศึกษาบุตร หรือวัยเกษียณ

4. ประกันชีวิตควบการลงทุน
เน้น: ความยืดหยุ่นสูง โดยผู้เอาประกันสามารถ เลือกสัดส่วน ของเบี้ยประกันที่นำไปใช้ในการคุ้มครองชีวิต และส่วนที่นำไป ลงทุนในกองทุนรวม
จุดเด่น: สามารถปรับเปลี่ยนความคุ้มครองและแผนการลงทุนได้ตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงชีวิต มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูง (แต่ก็มีความเสี่ยงตามมาด้วย)
ตัวอย่างจากไทยประกันชีวิต: เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ ต้องการความคุ้มครองที่สูง พร้อมโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าเงินฝาก


8
ในยุคปัจจุบัน โถปัสสาวะชาย (Urinal) ถือเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ขาดไม่ได้ในห้องน้ำสาธารณะและเชิงพาณิชย์ ด้วยคุณสมบัติที่ช่วย ประหยัดน้ำ ใช้พื้นที่น้อย และ ทำความสะอาดง่าย แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่า จุดกำเนิดของสุขภัณฑ์ที่มีความเฉพาะทางชิ้นนี้มาจากที่ใด ไปสำรวจประวัติศาสตร์อันน่าสนใจของโถปัสสาวะชาย ตั้งแต่แนวคิดเริ่มต้นจนถึงวิวัฒนาการสู่ระบบอัจฉริยะในยุคปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นจากความแออัดและความต้องการสุขอนามัยที่ดีขึ้น
แนวคิดในการแยกพื้นที่ขับถ่ายปัสสาวะของผู้ชายออกจากห้องน้ำรวม (Stall) หรือโถส้วม (Toilet) นั้น เกิดขึ้นในช่วงกลางถึงปลายศตวรรษที่ 19 ในประเทศตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของการขยายตัวของเมืองและอาคารสาธารณะขนาดใหญ่ เช่น โรงงาน สถานีรถไฟ และโรงเรียน



ความจำเป็นหลัก ๆ ที่นำไปสู่การพัฒนาโถปัสสาวะชายคือ
การจัดการความแออัด: ในสถานที่ที่มีผู้ชายใช้บริการจำนวนมาก การมีโถปัสสาวะชายที่ออกแบบมาให้ยืนใช้งานได้รวดเร็วกว่าโถส้วมแบบนั่งหรือแบบเหยียบ จะช่วย เพิ่มความรวดเร็ว ในการหมุนเวียนผู้ใช้งานในห้องน้ำ
สุขอนามัย: การออกแบบเฉพาะทางช่วยลดโอกาสในการสัมผัสพื้นผิวต่าง ๆ เมื่อเทียบกับการใช้โถส้วมทั่วไป ซึ่งส่งผลให้ สุขอนามัย โดยรวมของห้องน้ำดีขึ้น

โถปัสสาวะชายจากภาชนะสู่สุขภัณฑ์แบบติดตั้ง
1. ยุคก่อนประปา (Pre-Plumbing Era) ก่อนที่จะมีการติดตั้งระบบประปาที่ซับซ้อน ห้องน้ำในยุคแรก ๆ อาจใช้ภาชนะง่าย ๆ หรือช่องทางเฉพาะเพื่อรองรับของเสีย แต่เมื่อระบบประปาและระบบระบายน้ำเริ่มพัฒนา โถปัสสาวะชายก็เริ่มมีรูปร่างที่เป็นสุขภัณฑ์มากขึ้น

2. การถือกำเนิดของโถปัสสาวะชายแบบติดผนัง โถปัสสาวะชายในรูปแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน เริ่มปรากฏขึ้นในช่วง ทศวรรษ 1850-1880 โดยผลิตจากวัสดุที่ทนทานและทำความสะอาดง่าย เช่น พอร์ซเลน และ ดินเผาเคลือบวิเทรียสไชน่า (Vitreous China) ซึ่งเป็นวัสดุที่นิยมใช้ผลิตโถสุขภัณฑ์มาจนถึงทุกวันนี้
ดีไซน์เริ่มต้น: โถปัสสาวะในยุคแรกอาจเป็นเพียงอ่างเล็ก ๆ ติดผนัง มีระบบชะล้างน้ำแบบง่าย ๆ หรือต้องใช้มือเปิดวาล์ว

3. การพัฒนาระบบชำระล้าง (Flush System) การพัฒนาครั้งสำคัญคือการเพิ่ม ระบบชำระล้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบที่ควบคุมการชะล้างโดยอัตโนมัติ (Automatic Flushing) หรือใช้เซ็นเซอร์ (ในภายหลัง) เพื่อให้มั่นใจว่าโถปัสสาวะจะถูกทำความสะอาดหลังการใช้งานทุกครั้ง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความสะอาดและลดกลิ่น

วิวัฒนาการสู่ยุคปัจจุบัน
โถปัสสาวะชายไม่ได้หยุดนิ่งอยู่แค่โถพอร์ซเลนติดผนังเท่านั้น แต่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์เรื่องความสะอาดและการประหยัดทรัพยากร:
โถปัสสาวะชายไร้น้ำ (Waterless Urinals): การออกแบบที่ใช้สารเคมีหรือระบบกับดักกลิ่นพิเศษ (Trap Insert) แทนการใช้น้ำชำระล้าง ช่วย ประหยัดน้ำได้มากถึง 100%
โถปัสสาวะชายพร้อมเซ็นเซอร์ (Sensor Urinals): ใช้ระบบอินฟราเรดตรวจจับการใช้งาน และชะล้างน้ำโดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องสัมผัสกับพื้นผิว ลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค และมั่นใจได้ว่าโถจะสะอาดอยู่เสมอ
ดีไซน์ที่หลากหลาย: มีทั้งแบบแขวนผนัง (Wall-mounted) และแบบตั้งพื้น (Floor-standing) ที่ปรับให้เข้ากับการใช้งานและความสูงที่แตกต่างกัน


9
ไม่มีอะไรจะน่าหงุดหงิดเท่ากับการเข้าห้องน้ำแล้วต้องเจอกับ กลิ่นเหม็นจากชักโครก ที่ไม่ว่าจะทำความสะอาดอย่างไรกลิ่นก็ไม่หายไป ปัญหานี้ไม่ได้แค่สร้างความรำคาญ แต่ยังส่งผลต่อสุขอนามัยและความมั่นใจในการใช้พื้นที่ส่วนตัวด้วย สาเหตุชักโครกเหม็น และมอบวิธีแก้ ชักโครกมีกลิ่นเหม็น ที่ได้ผลจริง

3 สาเหตุหลักที่ทำให้ 'ชักโครกมีกลิ่นเหม็น'
การจะแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด เราต้องรู้ก่อนว่า ส้วมเหม็น นั้นมีที่มาจากอะไรได้บ้าง สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากปัจจัยเหล่านี้:
1. ปัญหาจากแหวนขี้ผึ้ง (Wax Ring) เสื่อมสภาพ
แหวนขี้ผึ้งคือซีลที่อยู่ใต้ฐานชักโครก ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ก๊าซจากท่อระบายน้ำ ย้อนกลับขึ้นมาในห้องน้ำ เมื่อแหวนขี้ผึ้งเสื่อมสภาพ แตก หรือติดตั้งไม่ได้ระดับ ก๊าซมีเทนที่มีกลิ่นแรงก็จะรั่วไหลออกมาได้ นี่คือ สาเหตุชักโครกมีกลิ่นเหม็น ที่พบบ่อยที่สุดและต้องการการซ่อมแซมโดยช่างประปา
2. น้ำในคอห่าน (P-Trap) แห้ง
คอห่าน หรือ P-Trap คือส่วนโค้งของท่อระบายน้ำที่กักเก็บน้ำไว้เพื่อทำหน้าที่เป็น "ตัวกั้นกลิ่น" หากไม่ได้ใช้งานห้องน้ำนั้นเป็นเวลานาน น้ำที่กักไว้ในคอห่านอาจระเหยแห้งไป ทำให้ก๊าซจากท่อระบายน้ำสามารถทะลุผ่านขึ้นมาได้โดยตรง
3. มีสิ่งอุดตันหรือสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
สิ่งปฏิกูล เส้นผม หรือคราบสบู่ที่สะสมอยู่ในท่อระบายน้ำ อาจกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียและเกิดการย่อยสลาย ทำให้เกิด กลิ่นเหม็นจากชักโครก หรือบริเวณรอบๆ ได้ นอกจากนี้ คราบสกปรกที่ติดอยู่ใต้ขอบชักโครกก็เป็นอีกจุดที่ทำให้เกิดกลิ่นได้เช่นกัน



5 วิธีแก้ชักโครกมีกลิ่นเหม็นด้วยตัวเอง & เมื่อไหร่ที่ต้องเรียกช่าง
ไม่ต้องทนกับ กลิ่นเหม็นจากชักโครก อีกต่อไป ลองใช้วิธีเหล่านี้เพื่อจัดการปัญหา:

1. ทำความสะอาดแบบล้ำลึก เน้นทำความสะอาด ใต้ขอบชักโครก และฐานชักโครกให้ทั่วถึง ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อหรือเบกกิ้งโซดาผสมน้ำส้มสายชู กลิ่นไม่แรงมาก หรือเกิดจากคราบสกปรกทั่วไป
2. เติมน้ำในคอห่าน กดชักโครก 1-2 ครั้ง หรือเปิดน้ำทิ้งไว้เล็กน้อย หากเป็นห้องน้ำที่ไม่ได้ใช้งานนานเมื่อไม่ได้ใช้ห้องน้ำนั้นนานกว่า 2-3 สัปดาห์
3. ใช้ผลิตภัณฑ์เอนไซม์กำจัดกลิ่น เทผลิตภัณฑ์ที่มีเอนไซม์ย่อยสลายสิ่งปฏิกูลลงในชักโครกตามคำแนะนำ เพื่อกำจัดสิ่งที่อุดตันในท่อ   เมื่อสงสัยว่ามีสิ่งอุดตันเล็กน้อยในท่อระบายน้ำ
4. ตรวจสอบรอยรั่วที่ฐาน สังเกตว่ามีน้ำซึมออกมาจากฐานชักโครกหรือไม่ หากฐานโยกเยกอาจเป็นสัญญาณว่าแหวนขี้ผึ้งมีปัญหา   หากกลิ่นคล้ายก๊าซไข่เน่าและฐานชักโครกไม่มั่นคง (ต้องเรียกช่าง)
5. ตรวจสอบท่อระบายอากาศ หากท่อระบายอากาศบนหลังคาอุดตัน (เช่น มีรังนกหรือใบไม้) จะทำให้เกิดแรงดันลบ ดึงน้ำจาก P-Trap และทำให้กลิ่นย้อนกลับเป็นงานที่ควรปรึกษาหรือให้ช่างมาดำเนินการ

การจัดการปัญหา ชักโครกมีกลิ่นเหม็น อาจต้องใช้เวลาในการตรวจสอบและแก้ไข แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอและไม่ทิ้งสิ่งที่ไม่ควรลงในชักโครก หากแก้ไขด้วยตัวเองไม่ได้ อย่าลังเลที่จะติดต่อช่างประปาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและถาวร



10
ประกันยูนิตลิงค์ Unit Linked เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ควบคู่ไปกับการวางแผนความคุ้มครองชีวิตอย่างยืดหยุ่น Unit Linked เป็นเครื่องมือวางแผนการเงินที่ช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนแผนได้ตามทุกช่วงชีวิต โดยมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากตลาดทุน

Unit Linked คือกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ค่าเบี้ยประกันจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก:
ส่วนที่ 1: ค่าการประกันภัย (Cost of Insurance - COI) สำหรับให้ความคุ้มครองชีวิตตามที่กำหนด
ส่วนที่ 2: ส่วนที่นำไปลงทุน บริษัทจะนำไปซื้อหน่วยลงทุนของ กองทุนรวม (Mutual Funds) ที่ผู้เอาประกันภัยเลือกเอง โดยจะได้รับผลตอบแทนตามผลการดำเนินงานของกองทุนนั้นๆ



จุดเด่นของ Unit Linked
• ความยืดหยุ่นสูง: สามารถ เพิ่ม/ลดทุนประกันชีวิต ได้ตามภาระและความต้องการในแต่ละช่วงชีวิต และสามารถหยุดพักชำระเบี้ยประกันได้ตามเงื่อนไขหากประสบปัญหาทางการเงิน (โดยความคุ้มครองยังดำเนินต่อหากมูลค่าบัญชียังมีเพียงพอ)
• โอกาสรับผลตอบแทนสูง: ผู้เอาประกันสามารถบริหารการลงทุนด้วยตนเอง โดยเลือกกองทุนรวมที่บริษัทคัดสรรมาให้ ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการออมแบบดั้งเดิม
• ความโปร่งใส: มีการเปิดเผยค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างชัดเจน ทำให้ผู้เอาประกันภัยเข้าใจโครงสร้างของกรมธรรม์ได้ง่าย
 
Unit Linked เหมาะกับใคร
ผลิตภัณฑ์ Unit Linked ถูกออกแบบมาเพื่อกลุ่มคนที่มีคุณสมบัติดังนี้:
1. นักลงทุนที่มีความรู้และพร้อมรับความเสี่ยง: ผู้ที่เข้าใจหลักการลงทุนในกองทุนรวมและสามารถยอมรับความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจผันผวนตามสภาวะตลาด
2. ผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงสุด: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับเปลี่ยนทั้งความคุ้มครองและเงินออม โดยไม่ต้องการผูกมัดกับการจ่ายเบี้ยประกันคงที่ตลอดไป
3. ผู้ที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว: Unit Linked เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ดีในการวางแผนเพื่อเป้าหมายระยะยาว เช่น แผนเกษียณอายุ หรือการสร้างมรดก

สิทธิลดหย่อนภาษีกับ Unit Linked: สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ
การซื้อประกัน Unit Linked สามารถนำไปใช้ ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้ แต่มีหลักเกณฑ์ที่แตกต่างจากการประกันชีวิตแบบดั้งเดิม:
ประเภทค่าเบี้ย   สิทธิลดหย่อนภาษี (สูงสุด 100,000 บาท)
เบี้ยประกันภัยหลัก (ส่วนความคุ้มครอง) สามารถนำไปลดหย่อนได้ ตามที่จ่ายจริง (รวมกับประกันชีวิตอื่นๆ) โดยกรมธรรม์ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
เบี้ยประกันภัยส่วนที่นำไปลงทุน   ไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้

ข้อแนะนำ: หากเป้าหมายหลักคือการลดหย่อนภาษีเต็มวงเงิน 100,000 บาท ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าสัดส่วนของ "เบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครอง" ในกรมธรรม์ของคุณเป็นเท่าใด เพื่อให้คำนวณสิทธิลดหย่อนได้อย่างถูกต้อง กองทุนประกันชีวิต


11
ฝาปิดชักโครกอาจดูเป็นส่วนเล็กๆ แต่ความจริงแล้วมีผลอย่างมากต่อสุขอนามัย ความสะดวกสบาย และความสวยงามของห้องน้ำคุณ การเลือกฝาชักโครกที่เหมาะสมกับประเภทชักโครกและการใช้งานถือเป็นสิ่งสำคัญ

ทำไมการเลือกฝาปิดชักโครกจึงสำคัญ
1. สุขอนามัย : ฝาชักโครกช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคและละอองน้ำจากการกดชักโครก การมีฝาที่ทำความสะอาดง่ายจึงช่วยให้ห้องน้ำถูกสุขอนามัยมากขึ้น
2. ความสบาย : วัสดุและความหนาของฝามีผลต่อความสบายในการนั่ง รวมถึงฟังก์ชันเสริมต่างๆ เช่น ระบบ Soft Close หรือระบบทำความร้อน
3. ความสวยงาม : ฝาชักโครกช่วยเสริมให้ห้องน้ำดูเป็นระเบียบและเข้ากับดีไซน์โดยรวมของห้องน้ำ



วัสดุยอดนิยมสำหรับฝาปิดชักโครก การเลือกวัสดุมีผลต่อความทนทาน ราคา และความรู้สึกขณะใช้งาน
พลาสติก(Plastic - PP/PVC) :
ข้อดี: ราคาถูก, น้ำหนักเบา, ทำความสะอาดง่าย, มีสีสันหลากหลาย
ข้อเสีย: ความทนทานน้อยกว่า, อาจแตกหักง่ายหากเป็นพลาสติกคุณภาพต่ำ

พลาสติกคุณภาพสูง/เรซิ่น(Polypropylene/Duroplast) :
ข้อดี: ทนทานสูง, ผิวสัมผัสเงางามคล้ายเซรามิก, ทนต่อรอยขีดข่วน
ข้อเสีย: ราคาสูงกว่าพลาสติกทั่วไป

ไม้ (Wood) :
ข้อดี: ให้ความรู้สึกหรูหรา อบอุ่น, มีความแข็งแรง
ข้อเสีย: ต้องการการดูแลรักษาเป็นพิเศษ, หากโดนน้ำขังเป็นเวลานานอาจบวมหรือผุได้

ฟังก์ชันพิเศษที่น่าสนใจ
ฝาปิดชักโครกในปัจจุบันไม่ได้มีแค่ฝาธรรมดา แต่มีเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย:

1.ระบบ Soft Close (ระบบปิดแบบนุ่มนวล):
การทำงาน: มีกลไกหน่วงทำให้ฝาชักโครกปิดลงอย่างช้าๆ โดยไม่มีเสียงดัง
ประโยชน์: ป้องกันเสียงรบกวน, ป้องกันฝาแตกจากการกระแทก

2.ฝาชักโครกอัจฉริยะ (Smart Toilet Seat/Bidet):
การทำงาน: มีระบบฉีดน้ำชำระอัตโนมัติ (Washlet), ระบบเป่าลมแห้ง, ระบบทำความร้อนที่นั่ง
ประโยชน์: เพิ่มสุขอนามัยสูงสุด, ลดการใช้กระดาษชำระ, มอบประสบการณ์การใช้งานระดับพรีเมียม วิธีแก้ ชักโครกมีกลิ่นเหม็น

3 เคล็ดลับสำคัญในการเลือกซื้อฝาปิดชักโครก
สิ่งสำคัญที่สุดคือการ วัดขนาด ชักโครกเดิมของคุณอย่างแม่นยำเพื่อป้องกันการซื้อผิดรุ่น:
1.วัดระยะห่างระหว่างรูน็อตยึด : โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 14-16 ซม.
2.วัดความยาวจากกึ่งกลางรูน็อตถึงปลายสุดของโถ: เพื่อเทียบกับขนาดฝาชักโครก (ถ้าเป็นทรงกลมมักจะสั้นกว่าทรงรี)
3.วัดความกว้างของโถชักโครก ณ จุดที่กว้างที่สุด: เพื่อให้ฝาปิดได้แนบสนิทกับโถ


12
เมื่อลูกน้อยมีอาการ ไอมีเสมหะ ย่อมทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวล เพราะนอกจากลูกจะรู้สึกไม่สบายตัว หายใจลำบากแล้ว อาการไอมักจะรบกวนการนอนหลับของลูกน้อยอีกด้วย การจัดการกับเสมหะอย่างถูกต้องและปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญลูกไอมีเสมหะ วิธีแก้

สาเหตุหลักที่ลูกไอมีเสมหะ
การไอเป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกายเพื่อขับสิ่งแปลกปลอมหรือเสมหะออกจากทางเดินหายใจ โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ลูกมีเสมหะ ได้แก่:
การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน(หวัด): เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เมื่อเป็นหวัด ร่างกายจะสร้างเสมหะมากขึ้นเพื่อดักจับเชื้อโรค
หลอดลมอักเสบ: การอักเสบในท่อลม ทำให้มีการสร้างเสมหะเหนียวข้น
ภูมิแพ้: สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น หรือขนสัตว์ อาจกระตุ้นให้เยื่อบุทางเดินหายใจสร้างเสมหะ
โรคหืด: พบในเด็กโตบางราย ที่มีอาการหลอดลมตีบร่วมกับการสร้างเสมหะ



วิธีแก้และบรรเทาอาการไอมีเสมหะในเด็ก
การรักษาที่ดีที่สุดคือการปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริง แต่ในระหว่างนี้ คุณสามารถช่วยบรรเทาอาการของลูกน้อยด้วยวิธีเหล่านี้:

1. เพิ่มความชุ่มชื้นในทางเดินหายใจ
นี่คือวิธีที่สำคัญที่สุดและปลอดภัยที่สุดในการทำให้เสมหะอ่อนตัวลงและขับออกง่าย:
ดื่มน้ำอุ่น/น้ำเปล่า: ให้ลูกจิบน้ำเปล่าหรือน้ำอุ่นบ่อย ๆ เพื่อช่วยละลายเสมหะให้ไม่เหนียวข้น
ใช้เครื่องทำความชื้น (Humidifier): วางไว้ในห้องนอนของลูก โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ความชื้นจะช่วยให้เสมหะอ่อนตัวลงและลดอาการคัดจมูก
สูดไอน้ำอุ่น: พาเข้าไปนั่งในห้องน้ำที่เปิดน้ำอุ่นจัด (ไม่ต้องให้ลูกสัมผัสน้ำ) ให้ลูกสูดไอน้ำอุ่นประมาณ 10-15 นาที ไอน้ำจะช่วยเปิดทางเดินหายใจและละลายเสมหะ


2. ให้น้ำเกลือล้างจมูก
ล้างจมูก: หากเสมหะเกิดจากน้ำมูกที่ไหลลงคอ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือจะช่วยลดปริมาณน้ำมูกและเสมหะได้เป็นอย่างดี ควรทำก่อนมื้ออาหารและก่อนนอน

3. การใช้ยาขับเสมหะและยาละลายเสมหะ (ภายใต้คำแนะนำของแพทย์)
ยาขับเสมหะ: ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำออกมาเจือจางเสมหะ
ยาละลายเสมหะ : ช่วยลดความเหนียวของเสมหะ ทำให้ไอขับออกได้ง่ายขึ้น
คำเตือน: ยาแก้ไอแบบกดอาการไม่ควรใช้กับเด็กที่มีเสมหะ เพราะการไอคือกลไกการขับเสมหะออก การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การวินิจฉัยและสั่งจ่ายของแพทย์เท่านั้น หมอเด็ก

4. ปรับท่าทางการนอน
หนุนศีรษะให้สูงขึ้น: ใช้หมอนที่มั่นคงหรือผ้าขนหนูรองใต้ที่นอน/เบาะที่นอนของลูก (ไม่ใช่รองใต้ศีรษะโดยตรง) ให้ศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อย จะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำมูกไหลลงคอมากในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นสาเหตุของการไอนอน

การดูแลลูกไอมีเสมหะต้องใช้ความอดทนและความใส่ใจ การใช้เคล็ดลับข้างต้นจะช่วยให้ลูกน้อยของคุณกลับมาหายใจโล่งและรู้สึกดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

13

แม้ว่าประกันสุขภาพทั่วไปจะให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแต่ ประกัน มะเร็ง มักจะมอบความคุ้มครองทางการเงินในรูปแบบของ เงินก้อนซึ่งมีข้อดีที่แตกต่าง
ได้รับเงินก้อนทันทีที่ตรวจพบ:   ประกันมะเร็งส่วนใหญ่มักจ่ายเงินก้อนให้ทันทีเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ทำให้ผู้เอาประกันมี เงินสดสำรอง สำหรับใช้จ่ายในการวางแผนการรักษาได้อย่างอิสระ เช่น การเลือกวิธีรักษาแบบใหม่ๆ ที่มีค่าใช้จ่ายสูง

ใช้ได้ตามต้องการ:   เงินก้อนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แค่ค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น แต่สามารถนำไปใช้เป็นค่าชดเชยรายได้ที่ขาดหายไป ค่าเดินทาง หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของผู้ป่วย
เบี้ยประกันคงที่และราคาเข้าถึงได้:   เบี้ยประกันมะเร็งมักไม่แพงเท่าประกันสุขภาพเหมาจ่าย และบางแผนมีเบี้ยประกันที่คงที่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ทำให้วางแผนการเงินได้ง่าย



ความคุ้มครองหลักของ "ประกันมะเร็ง" ที่ต้องทำความเข้าใจ
การทำความเข้าใจขอบเขตความคุ้มครองจะช่วยให้คุณเลือกแผนที่ตรงกับความเสี่ยงและงบประมาณของคุณ

1. คุ้มครองมะเร็งทุกระยะ
นี่คือจุดเด่นที่สุดของประกันมะเร็ง:
มะเร็งระยะไม่ลุกลาม:   บริษัทจะจ่ายผลประโยชน์ส่วนหนึ่ง (มักจะเป็น 10%-25% ของทุนประกัน) เพื่อให้ผู้เอาประกันมีเงินไปทำการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่โรคจะลุกลาม
มะเร็งระยะลุกลาม:   บริษัทจะจ่ายผลประโยชน์ส่วนที่เหลือทั้งหมด (หรือจ่ายเต็มจำนวน 100% หากไม่เคยเคลมระยะไม่ลุกลามมาก่อน)
ข้อแนะนำ: ควรเลือกแผนที่ให้ความคุ้มครอง มะเร็งทุกชนิดและทุกระยะ เพื่อให้ได้รับเงินก้อนตั้งแต่ระยะแรกๆ ซึ่งเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด

2. ระยะเวลารอคอย
ประกันมะเร็งทุกแผนจะมี ระยะเวลารอคอย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บริษัทยังไม่จ่ายผลประโยชน์ หากตรวจพบมะเร็งในช่วงนี้ โดยทั่วไปคือ:
ระยะรอคอยสำหรับการวินิจฉัยมะเร็ง:   มักจะอยู่ที่ 90 วัน นับจากวันที่กรมธรรม์มีผลบังคับ
ข้อยกเว้น:   โรคที่เป็นมาก่อนทำประกัน จะไม่ได้รับความคุ้มครอง

3. มะเร็งผิวหนัง
มะเร็งผิวหนังบางชนิดที่ไม่ร้ายแรงอาจมีเงื่อนไขการคุ้มครองที่แตกต่างกัน:
โดยทั่วไปจะมีการจ่ายผลประโยชน์สำหรับมะเร็งผิวหนังในสัดส่วนที่น้อยกว่ามะเร็งชนิดอื่นๆ (เช่น 10% หรือ 20% ของทุนประกัน)
อย่างไรก็ตาม มะเร็งผิวหนังชนิดที่ร้ายแรงอย่าง Malignant Melanoma มักจะได้รับการคุ้มครองเทียบเท่ามะเร็งระยะลุกลามทั่วไป เปรียบเทียบประกันสุขภาพ

4. ผลประโยชน์เพิ่มเติมที่อาจมีให้
นอกเหนือจากเงินก้อนแล้ว บางแผนประกันมะเร็งยังอาจมีผลประโยชน์เสริมอื่น ๆ เช่น:
ค่าชดเชยรายวัน:  จ่ายเงินชดเชยรายวันเมื่อต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากโรคมะเร็ง
คุ้มครองค่าตรวจวินิจฉัยซ้ำ:   เพื่อให้มั่นใจในการวินิจฉัยและแผนการรักษา


14
ภาวะ เท้าแบน เป็นปัญหาที่พบบ่อยและหลายคนอาจมองข้ามแต่ทราบหรือไม่ว่า เท้าแบนสามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ท่าทางการเดิน และสร้างความปวดเมื่อยที่ลามไปถึงข้อเท้า หัวเข่า สะโพก และหลังได้

เท้าแบนคืออะไร
เท้าแบน คือภาวะที่อุ้งเท้าด้านใน มีลักษณะแบนราบลงหรือหายไป เมื่อยืนลงน้ำหนัก ฝ่าเท้าด้านในส่วนใหญ่หรือทั้งหมดจะแตะพื้น โดยปกติแล้วเท้าจะมีส่วนโค้ง (Arch) เพื่อช่วยรองรับน้ำหนักและกระจายแรงกระแทกในขณะเดินหรือวิ่ง ซึ่งการที่อุ้งเท้าหายไปจะส่งผลต่อกลไกการทำงานของเท้าและร่างกายส่วนบน



ประเภทของเท้าแบนที่พบบ่อย
เท้าแบนแบบยืดหยุ่น : เป็นชนิดที่พบมากที่สุด โดยจะมีอุ้งเท้าเมื่อนั่งหรือเขย่งปลายเท้า แต่จะราบลงเมื่อยืนลงน้ำหนัก
เท้าแบนแบบติดแข็ง : เป็นชนิดที่พบได้น้อยกว่า โดยเท้าจะแบนราบอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะลงน้ำหนักหรือไม่ มักเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกและอาจทำให้มีอาการปวดมากกว่า

สังเกตตัวเอง: อาการเท้าแบนเป็นอย่างไร
หลายคนที่มีภาวะเท้าแบนอาจไม่มีอาการใดๆ เลย แต่หากเริ่มมีปัญหา อาการที่พบบ่อยได้แก่:

อาการปวด:
ปวดบริเวณส้นเท้า อุ้งเท้า หรือข้อเท้า โดยเฉพาะหลังการเดินหรือยืนเป็นเวลานาน
อาการปวดมักจะแย่ลงเมื่อทำกิจกรรม
อาการบวม: มีอาการบวมเล็กน้อยตามแนวเอ็นด้านในของข้อเท้า
ความผิดปกติในการเดิน: ท่าทางการเดินเปลี่ยนไป อาจนำไปสู่ปัญหาที่เข่า สะโพก หรือปวดหลังส่วนล่างตามมา
อาการเมื่อยล้า: รู้สึกเมื่อยล้าที่เท้าหรือน่องอย่างรวดเร็วเมื่อยืนหรือเดิน
รองเท้าสึกผิดปกติ: รองเท้าสึกหรอเร็วผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณขอบด้านใน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเท้าแบน
ภาวะเท้าแบนอาจเกิดขึ้นมาตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดขึ้นภายหลังได้จากหลายปัจจัย:
สาเหตุจากพันธุกรรม/พัฒนาการ: โดยทั่วไปอุ้งเท้าจะพัฒนาในช่วงวัยเด็ก แต่บางคนอาจไม่พัฒนาเลย
ภาวะเอ็นข้อเท้าด้านในเสื่อม: เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเท้าแบนในผู้ใหญ่ เมื่อเส้นเอ็นที่ทำหน้าที่พยุงอุ้งเท้าอ่อนแอลงหรือฉีกขาด อุ้งเท้าก็จะยุบตัวลง
การบาดเจ็บ: การบาดเจ็บที่เท้าหรือข้อเท้า เช่น กระดูกแตก หรือเอ็นฉีกขาด

คำแนะนำและข้อควรปฏิบัติเพิ่มเติม
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง: เช่น การวิ่งระยะทางไกลหรือการกระโดด หากมีอาการปวด ควรสลับไปออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่ำแทน เช่น การว่ายน้ำ หรือการปั่นจักรยาน
สังเกตอาการลูกหลาน: เท้าแบนในเด็กเล็กถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากลูกมีอาการปวดเท้า เดินผิดปกติ หรือเท้าแบนแบบติดแข็ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินผล


15
จากก๊อกน้ำที่ใช้ถ่านธรรมดา สู่การเป็นส่วนหนึ่งของระบบสมาร์ทโฮม ก๊อกน้ำอัตโนมัติได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดใน 3 ด้านหลัก:

1. สุขอนามัยเหนือระดับ: ลดการสัมผัส 100%
ปัจจัยเร่งสำคัญที่ทำให้ก๊อกน้ำเซ็นเซอร์เติบโตคือวิกฤตสุขภาพโลกที่ผ่านมา ผู้คนตระหนักถึงการลดการสัมผัสพื้นผิวที่ใช้ร่วมกันอย่างจริงจัง

ไร้สัมผัสอย่างแท้จริง: การทำงานด้วยระบบอินฟราเรด ที่ไวและแม่นยำ ทำให้น้ำไหลทันทีที่มือยื่นเข้าไปและหยุดทันทีที่มือออกไป ลดความเสี่ยงในการสะสมและส่งต่อเชื้อโรค และแบคทีเรียได้ดีกว่าก๊อกน้ำมือหมุนทั่วไปอย่างมาก
ดีไซน์ที่ทำความสะอาดง่าย: เนื่องจากไม่ต้องสัมผัสบ่อยครั้ง ตัวก๊อกน้ำจึงมีโอกาสเกิดคราบสกปรก คราบสบู่ และรอยมือได้น้อยกว่า ทำให้การดูแลรักษาทำได้ง่ายและคงความมันวาวได้นาน



2. นวัตกรรมความยั่งยืน: ประหยัดน้ำและพลังงาน
ก๊อกน้ำอัตโนมัติยุคใหม่ถูกออกแบบมาเพื่อ รักษาสิ่งแวดล้อม และ ลดค่าใช้จ่าย อย่างจริงจัง

การควบคุมอัตราการไหล : ก๊อกน้ำเซ็นเซอร์ส่วนใหญ่จะถูกตั้งค่าอัตราการไหลที่เหมาะสม (เช่น 4–6 ลิตร/นาที) ซึ่งเพียงพอต่อการล้างมือ แต่ช่วย ประหยัดน้ำได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับการเปิดทิ้งไว้ของก๊อกธรรมดา
ระบบปิดน้ำอัตโนมัติ: ป้องกันปัญหา ลืมปิดก๊อกน้ำ โดยระบบจะตัดการทำงานอัตโนมัติหากน้ำไหลต่อเนื่องเกินระยะเวลาที่กำหนด (เช่น 60 วินาที)
พลังงานทางเลือก : คือนวัตกรรมสุดล้ำที่เปลี่ยนพลังงานจลน์จากการไหลของน้ำ ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าสะสมในแบตเตอรี่ ทำให้ก๊อกน้ำสามารถ สร้างพลังงานในตัวเอง ได้โดยไม่ต้องใช้ถ่านหรือต่อไฟฟ้าภายนอก ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

3. ฟีเจอร์อัจฉริยะ: ควบคุมความสะดวกสบาย
เทคโนโลยีที่ซับซ้อนขึ้นไม่ได้แปลว่าใช้งานยาก แต่แปลว่าสะดวกสบายมากขึ้นสำหรับผู้ใช้ก๊อกน้ำอ่างล้างมือ

เซ็นเซอร์อุณหภูมิ: ก๊อกน้ำอัตโนมัติบางรุ่นมีการติดตั้ง เซ็นเซอร์ควบคุมอุณหภูมิ ทำให้สามารถตั้งค่าน้ำอุ่น/น้ำเย็นได้ตามต้องการอย่างแม่นยำ (มักพบในก๊อกน้ำในครัวหรืออ่างล้างหน้าพรีเมียม)
ระบบสองเซ็นเซอร์ (Two-Sensor System): เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน เช่น เซ็นเซอร์ด้านบนสำหรับล้างมือปกติ และเซ็นเซอร์ด้านข้างหรือปุ่มกดสำหรับการใช้น้ำแบบต่อเนื่อง (เช่น การเติมน้ำใส่ภาชนะ)
การเชื่อมต่อ IoT (Internet of Things): ในอนาคตอันใกล้ ก๊อกน้ำอาจเชื่อมต่อกับระบบสมาร์ทโฮม ทำให้สามารถ ตรวจสอบปริมาณการใช้น้ำ ผ่านแอปพลิเคชัน หรือแจ้งเตือนเมื่อเกิดความผิดปกติได้


หน้า: [1] 2 3 ... 11






 


แสดงผลได้กับ IE9+/Firefox/Chrome
1440*900 resolutions.

©2013 www.carshowsociety.com
Web Creative Design by Qisza.com

789/4 ซ.ลาดพร้าว 48 แยก 8 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320
มือถือ : 08-4659-4999