เกรย์มาร์เก็ตฝ่าทางตัน สมอ.               

ค่ายรถชี้รถหรูทำรัฐสูญ 4.44 หมื่นล้าน

ผ่านมาร่วมเดือนเศษ กรณีไฟไหม้รถหรูยังคงขยายวงกว้าง ส่งผลกระทบทั้งต่อผู้ประกอบการรถยนต์นำเข้าอิสระ และผู้ประกอบการรถยนต์หรูอย่างเป็นทางการในประเทศ หน่วยงานภาครัฐหรือผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทั้งกรมศุลกากร กรมขนส่งทางบก และ (สมอ.) หรือสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม และผู้ซื้อรถหรูไปขับหรือเศรษฐีกระเป๋าหนัก

ล่าสุดผู้ประกอบการรถยนต์นำเข้าอิสระ (เกรย์มาร์เก็ต) หรือ “พารา อิมพอร์ต” กว่า 50 บริษัท ร่วมตัวจัดตั้ง “สมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ใหม่ผู้นำเข้าและผู้จำหน่ายรถยนต์จากต่างประเทศ” ที่ก่อตั้งมานานร่วม 4-5 เดือน ภายใต้แนวคิด “เพื่อเป็นการยกระดับธุรกิจของสมาชิกให้เติบโตไปในทิศทางเดียวกัน และเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภค” ออกมาแสดงบทบาทอย่างเป็นทางการ หลังจากได้รับผลกระทบ ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากรณีรถหรูไฟไหม้

เกรย์ฯกระอักยอดขายหด

นายชาญชัย พิลาวรรณ นายกสมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ใหม่ผู้นำเข้าและผู้จำหน่ายรถยนต์จากต่าง

ประเทศ เผยถึงการรวมตัวกันของผู้ประกอบการกว่า 50 ราย เพื่อจัดตั้ง “สมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ใหม่” เพื่อผนึกกำลังพัฒนาธุรกิจของกลุ่มผู้ประกอบให้เติบโตไปในทิศทางเดียวกัน

“ผู้จำหน่ายรถนำเข้าอิสระว่า เป็นคนละกลุ่มกับพวกรถจดประกอบที่ทำผิดผิดกฎหมาย จากข่าวที่ออกมาทำให้สังคมและผู้บริโภคเกิดความสับสนระหว่าง “รถหรูนำเข้าทั้งคัน” กับ “รถจดประกอบ” ซึ่งรถทั้ง 2 ชนิดนี้ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง รถจดประกอบ (นำเข้าชิ้นส่วนแต่ละชิ้นแล้วมาประกอบเป็นคัน) ขณะที่รถหรูนำเข้าทั้งคันที่สมาชิกเราดำเนินธุรกิจอยู่ นำเข้าและเสียภาษีถูกต้อง 187-328% ตามกฎหมาย ใครต้องการตรวจสอบเรายินดีปฏิบัติตาม และมีข้อสังเกตเบื้องต้น ซึ่งผู้ซื้อสามารถเช็กได้คือ ถ้าเป็นรถจดประกอบจะมีระบุไว้ในเล่มทะเบียน ยอมรับว่า เหตุการณ์นี้ส่งผลต่อยอดขายไม่น้อย”

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบสำคัญที่มีต่อกลุ่มธุรกิจรถนำเข้าที่เรื้อรังมานาน และเป็นเหตุให้กลุ่ม “พาราอิมพอร์ต” เดือดร้อนจนต้องออการ้องทุกข์คือ มาตราฐานการตรวจสอบรถหรูของ (สมอ.) หรือสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม ที่มีความล่าช้า ส่งผลให้รถหรูกว่า 3,000 คัน ไม่ผ่านการตรวจสอบ เพื่อนำไปจดทะเบียนอย่างถูกต้อง

“(สมอ.) มีเจ้าหน้าที่ตรวจรถ 4-5 คน ตรวจรถได้แค่ 12-15 คันต่อวัน แต่มีรถรอให้ตรวจกว่า 1,000 รุ่นหรือ 3,000 คัน (เฉพาะกลุ่มผู้นำเข้าและจำหน่ายรถจากต่างประเทศ) แบ่งเป็นรถที่ลูกค้าซื้อไปขับติดป้ายแดงราว 2,000 คัน จอดอยู่ที่ท่าเรือกว่า 1,000 คัน และรถที่โชว์รูม 700-800 คัน รถเหล่านี้รอเพียงการตรวจจาก (สมอ.) ก็นำจดทะเบียนเป็นป้ายดำได้ แต่ต้องรอนาน เมื่อผู้บริโภครอนานก็ไม่มั่นใจ ส่งผลไปถึงผู้ที่กำลังจะตัดสินใจซื้อไม่มั่นใจ”

วอนรัฐผ่อนปรนอย่า 2 มาตรฐาน

จากผลกระทบต่างๆ เหล่านี้ ไม่นับรวมความเสียหายธุรกิจอื่นๆ ทำให้ยอดขายรถหรูลดลงราว 30% เมื่อเทียบจากปีที่ผ่านที่มียอดขาย 10,000 คัน นายกสมาคม “พาราอิมพอร์ต” หรือ “เกรย์มาร์เก็ต” และเหล่าสมาชิกคาดว่า ยอดขายรถหรูนำเข้าปีนี้จะลดลงเหลือ 7,000-8,000 คัน ล่าสุดผู้ประกอบรถนำเข้าอิสระที่อยู่นอกกลุ่มร่วม 30 รายปิดกิจการไปแล้ว

“ขอวอนภาครัฐให้ผ่อนปรนกับรถที่รอการตรวจสอบ เพื่อให้ส่งมอบรถกับลูกค้าได้เร็วขึ้น ถ้าจะออกมาตราการหรือกฎข้อบังคับใดๆ อีก ควรเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริง ไม่ใช่เป็น 2 มาตรฐานและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ล่าสุดกระทรวงอุตสาหกรรมได้ผ่อนปรนกฎในบ้างข้อ เช่น สามารถตรวจรถโดยมี Invoice รวมกันได้ และใช้เอกสารรับรองมาตรฐานจากผู้ผลิต COC จากต่างประเทศรับรองได้ ตรงนี้ต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงานอีกครั้ง”

ค่ายรถฟ้องรถหรูเลี่ยงภาษี

หลังจากกลุ่ม “พาราอิมพอร์ต” เผยถึงผลกระทบทางธุรกิจได้ไม่นาน กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมยานยนต์ เผยถึงผลกระทบของรถหรูและรถจดทะเบียนเลี่ยงภาษีในหัวข้อ “เจาะลึกกรณีรถหรูเลี่ยงภาษี ต้นเหตุปัญหาระดับชาติ” โดยมีสมาชิกกลุ่มผู้ประกอบการนำเข้าและจำหน่ายรถหรูอย่างเป็นทางการ เช่น เมอเซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย, บีเอ็มดับยู ไทยแลนด์, เอเอเอส ออโตเซอร์วิส ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถปอร์เช่ อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในไทย ฯลฯ เปิดเผยว่า รถหรูเลี่ยงภาษีทำให้รัฐเสียหายมีมูลค่า 4.44 หมื่นล้านบาท โดยคำนวนตั้งแต่ปี 2554

“ช่องทางนำเข้ารถหรูเลี่ยงภาษี ไม่ใช่มีขบวนการรถจดประกอบที่สวมรอยเป็นรถนำเข้าชิ้นส่วน เพื่อรับส่วนต่างจากภาษี แต่ได้นำรถยนต์สำเร็จรูปเข้ามาทั้งคัน แต่สำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง และสวมสิทธิ์นำเข้ารถมือสองจากต่าง

ประเทศ เฉพาะกรณีนี้รัฐสูญภาษีไม่น้อยกว่าปีละ 8.6 พันล้านบาท ขณะที่ผู้บริโภคอาจเสี่ยงถูกยึดรถและต้องเสียค่าปรับ 4 เท่าของราคารถ สร้างความเสียหายให้ผู้บริโภคปีละ 3.2 หมื่นล้านบาท”

                แนะทำ 6 ข้อสกัดรัฐสูญภาคนับหมื่นล้าน

รถหรูเลี่ยงภาษีเหล่านี้ หากผู้บริโภคซื้อไปขับ อาจเสี่ยงกับปัญหาอื่นๆ ตามมา เพราะจะถูกปฏิเสธจากศูนย์บริการเมื่อจำเป็นต้องเข้าซ่อมบำรุงหรือในกรณีบริษัทแม่เรียกรถกลับคืน “Recall” เนื่องจากเกิดปัญหา จะไม่ได้รับสิทธิ์เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด อีกทั้งกระบวนการจดประกอบรถยนต์ อาจทำในอู่ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตขณะขับขี่ได้ นอกจากนี้ เมื่อนับรวมความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ จากการถูกฉกฉวยประโยชน์จากการลงทุนด้านการตลาด ซึ่งมีมูลค่าก่าปีละ 3.1 พันล้านบาท

“ขอเสนอแนะมาตรการเพื่อรับมือกบปัญหารถหรูเลี่ยงภาษีต่อภาครัฐ  6 ประการ คือ 1) ตรวจการเลี่ยงภาษีอย่างจริงจังโดยให้กรมศุลกากรตรวจราคาจำหน่ายจากประเทศต้นทาง เทียบกับรถนำเข้าว่า แจ้งเสียภาษีไว้ก่อนหน้า เพื่อใช้เป็นราคาอ้างอิงและป้องกันการสำแดงราคาต่ำกว่าเป็นจริง และตรวจผู้นำเข้าสำแดง Option 2) ทาง (สมอ.) ควรตรวจสอบมาตราฐานรถที่นำเข้าอย่างเสมอภาคตามกฎหมาย รวมถึงตรวจรถที่นำไปติดก๊าซเพื่อเลี่ยงการตรวจ (สมอ.) 3) กรมขนส่งทางบก ควรเข้มงวดการตรวจสอบการนำเข้าก่อนรับจดทะเบียน 4) กระทรวงพาณิชย์เข้มงวดตรวจรถนำเข้ามือสองเพื่อป้องกันสวมสิทธิ์ 5) อาจออกกฎหมายใหม่กำหนดให้ผู้นำเข้ารถต้องมีใบอนุญาต และต้องรับประกันการซ่อมบำรุง 6) สำนักงานคณะกรรมคุ้มครองผู้บริโภค ควรมีบทบาทให้ความเข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดจากรถหรูเลี่ยงภาษี”

การเปิดเผยของกลุ่มธุรกิจทั้ง 2 นี้ สะท้อนถึงปัญหารอบด้าน เช่น ผลประโยชน์ทางธุรกิจที่มีมูลค่านับหมื่นล้านบาท และกระบวนการต่างๆ ที่ขาดความซื่อตรง ทั้งจากตัวนักธุรกิจ เจ้าหน้าที่ภาครัฐ แต่ที่ชัดเจนคือ ประเทศชาติสูญเสียภาษีอย่างมหาศาล ขณะที่ประชาชนคนทั่วไปพลอยสูญเสียโอกาสต่างๆ จากการสูญเสียภาษีที่จะนำมาใช้พัฒนาบ้านเมือง